ทำไมต้องทำประกันชีวิต ?
ประกันชีวิตสำคัญไฉน ทำไมต้องทำประกันชีวิต ?
จริงๆ แล้ว ประกันชีวิตก็ไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในชีวิต แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะมีไว้สำรองสำหรับชีวิต
เพราะถ้าหากว่าเรามีโอกาสได้เตรียมตัวก่อน มันก็ย่อมดีกว่าสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัว
ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์เรา ธรรมชาติสอนเราว่า ชีวิตมันต้องดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ที่จะต้องเป็นไป แต่ที่ผิดไปจากขั้นตอน ก็คือ ความพลัดพราก ความสูญเสีย ที่เข้ามาอย่างรวดเร็วโดยบางครั้งไม่ได้ส่งสัญญาณให้เราได้ตั้งตัว
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "คนที่จากไปกระทันหัน" แต่ปัญหาอันหนักอึ้งกลับเกิดกับ "คนที่ยังอยู่" ไม่ว่าจะเป็น สามี ภรรยา ลูก พ่อ แม่ พี่ น้อง และ คนที่ต้องอุปการะ
ประกันอาจจะไม่ได้ช่วยให้คนพ้นจากความตายได้ แต่ประกันช่วยให้คนที่ยังอยู่ มีเวลาพอที่จะปรับตัวให้ทุกข์น้อยลงได้ เพราะอย่างน้อยคุณยังมี พินัยกรรมผ่อนส่ง ในรูปแบบกรรมธรรม์ประกันชีวิต ที่อาจช่วยแบ่งเบาภาระของคอบครัวคุณได้ในยามฉุกเฉิน
ท่านจะได้อะไรจากประกันชีวิต ? จะทำประกันชีวิตเพื่ออะไร ?
ก่อนอื่นท่านต้องถามตัวเองก่อนว่า เราจะทำประกันชีวิตเพราะอะไร ? ประกันชีวิตจะตอบโจทย์อะไรของเราได้บ้าง ? เราต้องการอะไรจากประกันชีวิต ? คำถามเหล่านี้เชื่อว่าบางคน ยังตอบตัวเองไม่ได้
ข้อมูลด้านล่างนี้ อาจจะเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่ง ที่ช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ :
ก่อนจะเลือกแบบไหน เรามารู้จักชนิดของประกันกันก่อนนะคะ จะได้เลือกถูกว่า เราควรจะทำแบบไหนดี
1. แบบเน้นความคุ้มครองชีวิต (แบบประกันประเภท ประกันภัยตลอดชีพ ประกันภัยกำหนดระยะเวลา)
พูดง่ายๆ คือคุ้มครองชีวิตจริง ๆ คือ ตายอย่างเดียว หรือพูดให้สวยหรู ก็จากไปก่อนวัยอันควร เป็นประกันที่คุ้มครองผู้เอาประกันกรณีเสียชีวิต บริษัทจะจ่ายสินไหมให้ผู้รับผลประโยชน์ ส่วนใหญ่ประกันแบบนี้ คนทำประกันไม่ได้ใช้ คนใช้เงินไม่ได้ทำ หรือ ถ้าคนทำอยากใช้เงินก็ต้องเวนคืนกรมธรรม์ คือ ปิดก่อนครบสัญญา หรือ อีกกรณีหนึ่งคืออายุยืนยาวววมากกกค่ะ คือ ครบสัญญาแล้ว ยังอยู่ ค่ะ แบบประกันแบบนี้ไม่เน้นมีเงินคืนนะคะ เบี้ยประกันถูก ความคุ้มครองสูง แต่เงินคืนไม่หวือหวา
แบบนี้เหมาะกับ
- หัวหน้าครอบครัว ทำเป็นเหมือนพินัยกรรมผ่อนส่ง (Protection Plan) คนที่มีภาระต้องดูแลคนในบ้าน คนที่เป็นรายได้หลักของครอบครัว
- นักธุรกิจ ที่ยังมีภาระหนี้สิน เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยจะได้มีเงินประกันช่วยผยุงธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่นักธุรกิจใหญ่หลายคน นิยมทำแบบนี้ หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นการซื้อค่าตัวนั่นเองค่ะ
- อาชีพที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะทาง เช่น แพทย์ วิศวกร ทนายความ นักธุรกิจใหญ่ หรือบุคคลสำคัญ
เป็นต้นค่ะ เพราะแบบนี้เป็นการซืื้อค่าความสามารถส่วนใหญ่พวกทีทำประกันกันประเภท 10 ล้าน 100 ล้าน
2. แบบสะสมทรัพย์ เน้นการสร้างวินัยในการออมเพื่อเก็บเงิน อาจจะใช้ในวัยเกษียณ หรือทำเป็นกองทุนการศึกษาบุตร หรือ เงินก้อนสำหรับใช้จ่ายในการท่องเที่ยว
แบนี้เหมาะกับ
- คนโสดที่ต้องการเก็บเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ และเป็นอึกช่องทางหนึ่งในการบริหารการลงทุนด้วยค่ะ
- คนมีครอบครัว เน้นทำเพื่อเป็นกองทุนการศึกษาบุตร หรือ เงินก้อนไว้สำหรับครอบครัวในอนาคต
3. แบบประกันสุขภาพ อุบัติเหตุ และ คุ้มครองโรคร้ายแรง แบบนี้คิดง่ายๆ เหมือนกันประกันรถค่ะ เพราะอนุสัญญาเป็นเบี้ยส่วนเปล่า คือ ถ้าปีไหน ไม่มีเคลมก็ไม่มีเงินคืนอะไร ยกเว้นบางแบบประกัน เช่น Healt Life Time ไม่เคลมมีคืน เป็นต้นค่ะ
แบบนี้เหมาะกับ
- เหมาะกับทุกคนค่ะ ที่ต้องการทำไว้เพื่อแบ่งเบาภาระความเสี่ยงอันเกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ประสบอุบัติเหตุ หรือ เป็นโรคร้ายแรงค่ะ อย่างน้อยก็มีเงินก้อนหนึ่ง หรือ บางส่วนที่จ่ายค่าสินไหม และ ค่าชดเชยให้ยามเราประสบเหตุ แต่ถ้าไม่เป็นอะไร ก็ถือเสียว่าเราซื้อค่าความเสี่ยง ความสบายใจ เพราะแบบนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเงินคืน หรือ ถ้ามีก็จะไม่มากมายอะไรค่ะ
4. แบบประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นนวตกรรมทางการเงินการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่เน้นให้ความคุ้มครองทั้งชีวิต และมีให้ลุ้นในการนำเงินสวนหนึ่งไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น โดยให้บริษัทประกันบริหารพอร์ทให้ค่ะ
แบบนี้เหมาะกับ
- เหมาะกับทุกคน ทุกกลุ่ม ทีมีความรู้ ความเข้าใจในการลงทุนระดับหนึ่งค่ะ เพราะแบบนี้เงินส่วนหนึ่งบริษัทจะนำไปลงทุนในหุ้น ในกองทุน ซึ่งแน่นอนว่า ไม่กำหนดยอดเงินตายตัว อาจได้กำไร หรือ ขาดทุน
ซึ่งอยู่กับสภาวะตลาด ณ ขณะนั้นค่ะ แต่ส่วนหนึ่งที่สำคัญและแตกต่างก็คือ เรามีประกันชีวิตให้ค่ะ
หลังจากทราบแบบประกันคร่าวๆ ไปแล้ว หลายท่านคงพอจะมีไอเดีย ในการเลือกแบบประกันให้กับตัวเองกันนะคะ แต่ยังไม่จบเท่านี้ค่ะ ยังมีส่วนประกอบอื่นอีก ที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจ ก่อนซื้อประกันค่ะ เดี๋ยวตามกันต่อไปนะคะ